Author: admin

  • หลักสูตร TPM (Total Productive Maintenance) การบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม อบรม Public 3,000 บาท / ท่าน อบรมออนไลน์ อบรมด่วน

    หลักสูตร TPM (Total Productive Maintenance) การบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม อบรม Public 3,000 บาท / ท่าน อบรมออนไลน์ อบรมด่วน

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    ระบบ TPM แบบดั้งเดิมของอเมริกาให้ความสำคัญกับผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักรถึงแม้ว่าจะมุ่งที่จะไปให้ถึงขีดจำกัดสูงสุดของประสิทธิภาพของเครื่องจักรโดยการปรับปรุงวิธีการสร้างเครื่องจักร การบำรุงรักษาเครื่องจักร แต่ก็ไม่ได้มุ่งไปสู่ขีดจำกัดสูงสุดของระบบการผลิตโดยก้าวไปถึง วิธีการใช้เครื่องจักร ลักษณะพิเศษของ TPM   คือการบำรุงรักษาด้วยตนเองของพนักงาน   ควบคุมดูแลเครื่องจักรดูแลรักษาร่างกายของมนุษย์ด้วยเพื่อที่จะสามารถรักษาสุขภาพให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการตรวจเช็คตามเวลาที่กำหนด แล้วทำการซ่อมแซมบำรุงรักษาสำหรับแนวคิดในเรื่องของการควบคุมเครื่องจักรของญี่ปุ่นนั้นผ่านมาจากยุคของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันไปสู่การบำรุงรักษาเพื่อเพิ่มผลผลิตแล้วก็ได้พัฒนาไปสู่ยุคของTPM ในปัจจุบัน TPM (TotalProductive Maintenance)เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาองค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยอาศัย 8 เสาหลักที่สำคัญคือ 8 เสาหลักซึ่งเป็น ที่เป็นที่ยอมรับอย่างยิ่งในธุรกิจอุตสาหกรรม นอกจากนั้น TPM ยังสามารถช่วยในการพัฒนาบุคลากรขององค์กรได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อองค์การและมีความสามารถในการบริหารจัดการตามนโยบายของบริษัท ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
     วัตถุประสงค์
    เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรอย่างรู้คุณค่า
    เพื่อกำหนดบทบาทในการใช้อุปกรณ์
    เพื่อสร้างความรู้ของความสำคัญของการบำรุงรักษาเครื่องจักรที่ถูกวิธีให้กับผู้เข้าฝึกอบรม
    เพื่อทราบถึงหลักการการบำรุงรักษาเครื่องจักร หลักการบำรุงรักษาแบบป้องกันแบบ  TPM  (Total Preventive maintenance) ขั้นตอนการดำเนินการทำการบำรุงรักษา
    เพื่อให้ผู้เข้าฝึกอบรมได้ทราบและเข้าใจในรูปแบบการบำรุงรักษาเครื่องจักรที่ถูกวิธี
    เพื่อการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล 

    หัวข้อการอบรม 
    ความหมายของ TPM และความสำคัญของการบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องจักร
    ความปลอดภัยกับการบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องจักร
    รูปแบบและชนิดของการบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องจักร
    เทคนิคการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงปรับปรุงแก้ไข
    กลุ่มเป้าหมาย
    ผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน พนักงาน วิศวกร 
    ระยะเวลาในการฝึกอบรม 
    หลักสูตร  1 วัน (09.00 – 16.00 น.)
    การวัดผล
    ผู้เข้าอบรมต้องทำข้อสอบประเมินผล โดยผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60  จึงจะมีสิทธิ์ได้รับใบประกาศผ่านการฝึกอบรม
    เนื้อหาการฝึกอบรม
    หลักการแปดเสาของ TPM
    การบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องจักร
    การแต่งกายผู้เข้าอบรม 

    แต่งกายสุภาพ เหมาะสม กางเกงขายาว รองเท้าหุ้มส้น / รองเท้าเซฟตี้ 
    ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะเข้าอบรมทุกกรณี

  • หลักสูตรเทคนิคการลดต้นทุน (Cost Reduction) 50 ท่าน / รุ่น

    หลักสูตรเทคนิคการลดต้นทุน (Cost Reduction) 50 ท่าน / รุ่น

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    ปัจจุบันต้นทุนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันมีสภาพการแข่งขันสูง องค์กรไม่สามารถเพิ่มกำไรโดยการเพิ่มราคาสินค้าดังกล่าว ดังนั้น การมุ่งเน้นจึงเป็นไปในทางการลดต้นทุนแต่ไม่ลดคุณภาพในการผลิตหรือบริการเพื่อสร้างความได้เปรียบในการ แข่งขันและเพิ่มผลกำไรสูงสุดแก่องค์กร  การลดต้นทุนจำเป็นต้องใช้เทคนิคและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะนำมาซึ่งการเพิ่ม ผลผลิตที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิผลในการดำเนินงำนของบริษัท
    วัตถุประสงค์
    เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรต่างๆ ขององค์กรอย่างรู้คุณค่า
    เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถวิเคราะห์ข้อบกพร่องและแก้ไขปัญหาของที่มาของต้นทุนที่สูง และการมีส่วนร่วมในการลดต้นทุนในหน่วยงานและองค์กร
    เพื่อให้ผู้เข้าอบรมรู้วิธีการควบคุมในการลดต้นทุนส่วนที่ตนเองรับผิดชอบและประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับองค์กรได้มากขึ้น

    หัวข้อการอบรม
    ความสำคัญของการเพิ่มผลและการควบคุมต้นทุน
    ความสัมพันธ์ของการลดต้นทุนกับการเพิ่มผลผลิต
    ปัญหาและแหล่งที่มาของต้นทุนที่สูงในองค์กร
    การวิเคราะห์ข้อบกพร่องในองค์กร แนวคิดและวิธีการลดต้นทุน
    การวางเป้าหมายก่อนเริ่มการทำลดต้นทุน ที่ทุกคนมีส่วนร่วม
    วิธีการค้นหาความสูญเสียและการวางแผนการดำเนินการแก้ไขการลดความสูญเสียกับการเพิ่มผลิตผลิต
    การเขียนแผน Present ถึงปัญหาและแนวทางการลดต้นทุนในหน่วยงาน/องค์การ
    กลุ่มเป้าหมาย
    ผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน และบุคคลทั่วไปที่สนใจ
    ระยะเวลาในการฝึกอบรม
    หลักสูตร  1 วัน (09.00 – 16.00 น.)
    การวัดผล
    ผู้เข้าอบรมต้องทำข้อสอบประเมินผล โดยผ่านเกณฑ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60  จึงจะมีสิทธิ์ได้รับใบประกาศผ่านการฝึกอบรม
    เนื้อหาการฝึกอบรม
    เทคนิคการลดต้นทุน
    การลดต้นทุนในศตวรรษที่ 21
    การแต่งกายผู้เข้าอบรม 

    แต่งกายสุภาพ เหมาะสม กางเกงขายาว รองเท้าหุ้มส้น / รองเท้าเซฟตี้ 
    ไม่อนุญาตให้ใส่กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะเข้าอบรมทุกกรณี

    หลักสูตรเทคนิคการลดต้นทุน (Cost Reduction)
    ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรง การบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตและอยู่รอดได้ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลักสูตร “เทคนิคการลดต้นทุน (Cost Reduction)” ของเรา ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้บริหารและบุคลากรในองค์กรสามารถนำเทคนิคต่าง ๆ ไปใช้ในการลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน
    หัวข้อสำคัญที่คุณจะได้เรียนรู้ในหลักสูตรนี้:
    การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost Analysis): เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ต้นทุนในทุกภาคส่วนขององค์กรเพื่อหาจุดที่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การลดต้นทุนในกระบวนการผลิต (Production Cost Reduction): เทคนิคในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการสูญเสียทรัพยากร
    การปรับปรุงการจัดการทรัพยากร (Resource Optimization): วิธีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงาน
    การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management): วิธีการลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้สามารถควบคุมและลดค่าใช้จ่ายได้
    เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดต้นทุน (Technology & Innovation): การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ
    ทำไมต้องเลือกหลักสูตรนี้?
    เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: การลดต้นทุนไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มกำไร แต่ยังช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นในการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว
    ปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร: คุณจะได้เรียนรู้วิธีลดต้นทุนในทุกภาคส่วนขององค์กร ทั้งในด้านการผลิต การจัดการทรัพยากร และการขนส่ง
    นำไปใช้ได้ทันที: หลักสูตรนี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณสามารถนำเทคนิคที่เรียนรู้ไปใช้ได้ทันทีในงานประจำวันขององค์กร
    เหมาะสำหรับทุกองค์กร: ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับทุกระดับองค์กรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุน
    ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากหลักสูตร:
    ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
    ควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกภาคส่วนของธุรกิจ
    เสริมสร้างการตัดสินใจที่มีข้อมูลและประสิทธิภาพ
    ขยายโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจด้วยการเพิ่มกำไร
    พัฒนาแนวทางในการบริหารต้นทุนที่ยั่งยืนในระยะยาว
    เหมาะสำหรับใคร?
    ผู้บริหารระดับสูง (C-Level)
    ผู้จัดการฝ่ายการเงิน, การผลิต, และซัพพลายเชน
    เจ้าของธุรกิจที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการต้นทุน
    บุคลากรที่ต้องการพัฒนาทักษะในการลดต้นทุนในองค์กร
    สมัครเรียนวันนี้!
    หลักสูตร เทคนิคการลดต้นทุน (Cost Reduction) จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีการลดต้นทุนในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

    เสริมสร้างองค์กรของคุณให้มีความคล่องตัวและแข็งแกร่งในตลาดด้วยเทคนิคการลดต้นทุนจากเรา!

  • บริการตรวจสอบภาชนะรับความดัน ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน หม้อน้ำ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน เครื่องปั้มลม เครื่องอัดอากาศ

    บริการตรวจสอบภาชนะรับความดัน ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน หม้อน้ำ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน เครื่องปั้มลม เครื่องอัดอากาศ

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    ⚙️ บริการตรวจสอบภาชนะรับความดัน และอุปกรณ์อัดอากาศ
    มาตรฐานความปลอดภัยที่โรงงานมืออาชีพไว้วางใจ!
    เพราะความปลอดภัยของพนักงานและโรงงานของคุณ
    ไม่ใช่เรื่องที่รอได้!
    เราให้บริการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยสำหรับ
    ภาชนะรับความดัน, ถังบรรจุก๊าซ, หม้อน้ำ, หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    รวมถึง เครื่องปั๊มลม และเครื่องอัดอากาศ
    โดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญตามข้อกำหนดของกฎหมายและมาตรฐานอุตสาหกรรม

    🔍 รายการอุปกรณ์ที่ให้บริการตรวจสอบ:
    ✅ ภาชนะรับความดัน (Pressure Vessel)
    ✅ ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน (Gas Cylinder & Tank)
    ✅ หม้อน้ำ (Boiler)
    ✅ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (Thermal Oil Heater)
    ✅ เครื่องปั้มลม (Air Compressor)
    ✅ เครื่องอัดอากาศ (Compressed Air System)

    💼 ทำไมต้องเลือกบริการของเรา?
    🔧 ตรวจสอบครบทุกจุด ตามมาตรฐานกรมโรงงานอุตสาหกรรม
    📋 จัดทำรายงานผลตรวจสอบ พร้อมใบรับรองโดยวิศวกร
    🧑‍🔧 ทีมตรวจสอบมีใบอนุญาตและประสบการณ์ตรง
    🕘 รวดเร็ว ทันเวลา ลดหยุดงานโรงงาน
    💯 เพิ่มความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้ธุรกิจของคุณ

    📢 พร้อมให้บริการทั่วประเทศ!
    ไม่ว่าคุณจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
    เรายินดีดูแลอุปกรณ์สำคัญทุกชิ้นของคุณ
    ปลอดภัยตามกฎหมาย มั่นใจตลอดอายุการใช้งาน!

    ภาชนะรับความดัน (Pressure Vessel) คือ ภาชนะหรือถังที่ออกแบบมาเพื่อรับและเก็บกักของเหลว, ก๊าซ หรือสารต่าง ๆ ที่มีความดันสูงภายใน โดยทั่วไปแล้วภาชนะเหล่านี้จะถูกใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตพลังงาน, ปิโตรเคมี, อุตสาหกรรมอาหาร, การเก็บกักก๊าซ, หรือในระบบทำความเย็น

    🧰 ลักษณะของภาชนะรับความดัน
    วัสดุ: มักทำจากเหล็กกล้า หรือวัสดุที่ทนทานต่อความดันและการกัดกร่อน
    การออกแบบ: มีความแข็งแรงพิเศษเพื่อรองรับแรงดันภายในที่สูงกว่าปกติ
    รูปร่าง: โดยทั่วไปจะเป็นรูปทรงกระบอก ทรงกลม หรือทรงกระบอกที่มีฝาปิด

    🚨 การใช้งานภาชนะรับความดัน
    ใช้ใน โรงงานอุตสาหกรรม เช่น หม้อไอน้ำ (Boiler), เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger)
    เก็บกัก ก๊าซอัด เช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือก๊าซในระบบปิโตรเคมี
    ใช้ในระบบ ปั๊มและเครื่องอัดอากาศ
    ใช้ใน กระบวนการผลิตพลังงาน เช่น กังหันไอน้ำ

    🔧 ความสำคัญของการตรวจสอบภาชนะรับความดัน
    การตรวจสอบภาชนะรับความดันอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยป้องกัน:
    การรั่วซึม: อาจเกิดการรั่วของก๊าซหรือของเหลวที่มีความดันสูง
    การแตกร้าว: ถ้าไม่ตรวจสอบอย่างระมัดระวังอาจเกิดการแตกร้าว หรือการล้มเหลวของภาชนะได้
    ความเสียหายจากการกัดกร่อน: ทำให้โครงสร้างภาชนะไม่แข็งแรงพอที่จะรับความดัน
    การเสี่ยงจากการระเบิด: ภาชนะรับความดันที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

    📋 การตรวจสอบภาชนะรับความดัน
    การตรวจสอบภาชนะรับความดันจะรวมถึง:
    การตรวจสอบภายนอก: การตรวจดูภายนอกว่ามีรอยรั่วหรือรอยแตกร้าว
    การตรวจสอบภายใน: การตรวจสอบผิวภายในของภาชนะเพื่อตรวจหาการกัดกร่อนหรือความเสียหาย
    การทดสอบแรงดัน (Pressure Testing): การทดสอบภาชนะภายใต้ความดันสูงเพื่อให้มั่นใจว่าไม่เกิดการเสียหาย
    การตรวจสอบส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น วาล์ว, ท่อ, และอุปกรณ์เสริม

    ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน (Gas Cylinder & Tank) คือ ถังหรือภาชนะที่ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บกักก๊าซที่มีความดันสูง ซึ่งมักใช้ในการเก็บก๊าซที่เป็นอันตรายหรือก๊าซที่ต้องเก็บในสภาพก๊าซที่มีความดันสูง เช่น ก๊าซธรรมชาติ, ก๊าซอุตสาหกรรม (เช่น ออกซิเจน, ไนโตรเจน, อะซีทิลีน) หรือก๊าซใช้ในกระบวนการผลิตต่าง ๆ
    ภาชนะเหล่านี้จะมีความทนทานสูง และออกแบบมาให้ปลอดภัยในระหว่างการใช้งานเพื่อป้องกันการรั่วไหล หรือการระเบิดของก๊าซในภาชนะ

    🧰 ลักษณะของภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
    วัสดุ: ทำจากวัสดุที่แข็งแรงและทนทาน เช่น เหล็กกล้า (Steel), อะลูมิเนียม, หรือคอมโพสิต (Composite materials) ที่สามารถรับความดันได้สูง
    ลักษณะภายนอก: มักมีลักษณะเป็นทรงกระบอกหรือทรงกลม ขนาดต่าง ๆ ตามการใช้งาน
    การออกแบบ: มีการเสริมความแข็งแรงในส่วนของฝาครอบและวาล์ว เพื่อป้องกันการรั่วไหลของก๊าซและการเกิดอุบัติเหตุ

    🏭 การใช้งานของภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
    ภาชนะบรรจุก๊าซทนความดันมีหลายประเภทและใช้ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึง:
    อุตสาหกรรมการแพทย์: เช่น ถังออกซิเจนสำหรับโรงพยาบาล
    อุตสาหกรรมการผลิต: เช่น ก๊าซอะซิทิลีน, ออกซิเจน, และไนโตรเจนในการเชื่อม หรือการผลิตที่ต้องการก๊าซ
    อุตสาหกรรมการขนส่ง: ใช้ในการขนส่งก๊าซต่าง ๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ
    อุตสาหกรรมอาหาร: เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตเครื่องดื่มอัดลม
    อุตสาหกรรมพลังงาน: เช่น การเก็บก๊าซในโรงงานผลิตพลังงาน

    🚨 ความสำคัญของการตรวจสอบภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
    การตรวจสอบภาชนะบรรจุก๊าซทนความดันเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันอุบัติเหตุจาก:
    การรั่วไหลของก๊าซ: ถ้าภาชนะไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจมีการรั่วไหลของก๊าซ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
    การแตกร้าวหรือบิดเบี้ยว: การได้รับแรงกระแทกหรือความร้อนอาจทำให้ภาชนะเสียหาย
    การระเบิด: การไม่ตรวจสอบสภาพของภาชนะบรรจุก๊าซอาจนำไปสู่การเกิดการระเบิดจากความดันภายใน
    การกัดกร่อน: เมื่อภาชนะมีการกัดกร่อนจะทำให้วัสดุอ่อนแอและเสี่ยงต่อการแตกหัก

    📋 การตรวจสอบภาชนะบรรจุก๊าซทนความดัน
    การตรวจสอบภาชนะบรรจุก๊าซทนความดันมีขั้นตอนสำคัญ เช่น:
    ตรวจสอบภายนอก: มองหาความเสียหาย เช่น รอยร้าว รอยบวม หรือการกัดกร่อนที่อาจเกิดขึ้น
    ตรวจสอบวาล์วและอุปกรณ์เสริม: ตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลหรือไม่
    ตรวจสอบความดัน: ทำการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการรั่วไหลและภาชนะทนความดันที่ได้รับ
    ตรวจสอบสภาพทั่วไป: เช่น การขัดผิวภาชนะ ตรวจสอบการพังทลายของผิวโลหะ

    หม้อน้ำ (Boiler) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไอน้ำจากการให้ความร้อนกับน้ำ ซึ่งจะนำไอน้ำที่ได้ไปใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมหรือการผลิตพลังงาน เช่น การขับเคลื่อนเครื่องจักร การทำความร้อนในระบบปรับอากาศ หรือการใช้ไอน้ำในกระบวนการผลิตต่าง ๆ หม้อน้ำสามารถทำงานได้ทั้งจากการใช้พลังงานจากน้ำมัน, ก๊าซ, ถ่านหิน หรือพลังงานไฟฟ้าในการให้ความร้อน

    🧰 ลักษณะของหม้อน้ำ
    โครงสร้าง: หม้อน้ำประกอบไปด้วยภาชนะที่บรรจุน้ำ ซึ่งได้รับความร้อนจากแหล่งพลังงานที่ใช้
    ส่วนที่ทำความร้อน: อาจใช้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง (เช่น ก๊าซ, ถ่านหิน, หรือเชื้อเพลิงเหลว) หรือใช้ไฟฟ้าในการให้ความร้อน
    การระบายไอน้ำ: หม้อน้ำจะมีทางออกสำหรับการระบายไอน้ำออกไปเพื่อใช้ในระบบต่าง ๆ

    🏭 การใช้งานของหม้อน้ำ
    หม้อน้ำมีบทบาทสำคัญในหลายอุตสาหกรรม เช่น:
    อุตสาหกรรมการผลิตพลังงาน: ใช้หม้อน้ำในการผลิตไอน้ำเพื่อขับเคลื่อนกังหันในโรงไฟฟ้า
    อุตสาหกรรมอาหาร: ใช้หม้อน้ำในกระบวนการฆ่าเชื้ออาหารหรือผลิตเครื่องดื่ม เช่น การให้ความร้อนในกระบวนการสตีม
    อุตสาหกรรมเคมี: ใช้ไอน้ำในกระบวนการเคมีที่ต้องการอุณหภูมิสูง เช่น การผลิตสารเคมีหรือการแยกสาร
    การทำความร้อนในอาคาร: หม้อน้ำบางประเภทใช้ในการผลิตความร้อนสำหรับระบบทำความร้อนในอาคาร เช่น ระบบทำความร้อนจากน้ำร้อนหรือไอน้ำ

    🚨 ความสำคัญของการตรวจสอบหม้อน้ำ
    การตรวจสอบหม้อน้ำเป็นสิ่งสำคัญเพราะมันช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น:
    การระเบิด: หากหม้อน้ำไม่ได้รับการตรวจสอบสภาพการทำงาน หรือความดันภายในหม้อสูงเกินไปอาจทำให้เกิดการระเบิดได้
    การรั่วไหลของไอน้ำ: หากมีการรั่วไหลของไอน้ำจากหม้อน้ำจะทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การกัดกร่อน: น้ำภายในหม้อน้ำอาจมีส่วนผสมของสารเคมีที่ทำให้เกิดการกัดกร่อนหรือการสะสมของตะกรัน
    การเสียหายจากความร้อนสูงเกินไป: หากระบบควบคุมความร้อนหรือความดันไม่ได้รับการบำรุงรักษาอาจทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ได้

    📋 การตรวจสอบหม้อน้ำ
    การตรวจสอบหม้อน้ำจะต้องทำอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหาหรือความเสี่ยงในการใช้งาน:
    ตรวจสอบภายนอกและภายใน: มองหาความเสียหายที่อาจเกิดจากการผุกร่อน หรือการสะสมของตะกรัน
    การตรวจสอบความดัน: ตรวจสอบว่าแรงดันภายในหม้อน้ำไม่เกินค่าที่ปลอดภัย
    การตรวจสอบระบบทำความร้อน: ตรวจสอบว่าแหล่งความร้อนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
    การทดสอบการรั่วไหล: ตรวจสอบทุกจุดที่มีโอกาสรั่วไอน้ำหรือสารอื่น ๆ ออกจากระบบ
    การทดสอบการทำงานของระบบควบคุม: เช่น การทำงานของวาล์วระบายความดันและเครื่องมือควบคุมอุณหภูมิ

    💡 ความสำคัญของการบำรุงรักษาหม้อน้ำ
    การบำรุงรักษาหม้อน้ำอย่างสม่ำเสมอและการตรวจสอบตามระยะเวลาที่กำหนด จะช่วยยืดอายุการใช้งานของหม้อน้ำ ลดความเสี่ยงจากการเกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในกระบวนการผลิตหรือระบบต่าง ๆ ที่ใช้ไอน้ำ

    หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (Thermal Oil Heater) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำความร้อนโดยการใช้ของเหลวที่มีจุดเดือดสูงเป็นสื่อนำความร้อนแทนการใช้น้ำเหมือนหม้อน้ำทั่วไป ของเหลวที่ใช้มักจะเป็นน้ำมันหรือสารเคมีที่ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง โดยหม้อต้มชนิดนี้มักใช้ในระบบที่ต้องการอุณหภูมิสูงและคงที่ในกระบวนการผลิต

    🧰 ลักษณะของหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    ของเหลวที่ใช้: น้ำมันสังเคราะห์ (Synthetic Oil), น้ำมันที่มีจุดเดือดสูง, หรือสารที่ทนความร้อน เช่น โพลีเอทิลีน หรือฟลูออโรคาร์บอน
    การทำงาน: หม้อจะทำการให้ความร้อนแก่ของเหลวที่อยู่ในระบบแล้วส่งผ่านไปยังส่วนต่าง ๆ ที่ต้องการความร้อน เช่น เครื่องจักร, เครื่องอบ, หรือระบบทำความร้อนในอุตสาหกรรม
    ระบบปิด: การทำงานของระบบในหม้อต้มชนิดนี้จะใช้ระบบปิด ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำหรือตัวทำความร้อนเพิ่มเติม
    การออกแบบ: หม้อต้มจะประกอบไปด้วยแหล่งความร้อน (เช่น การเผาไหม้, ฮีตเตอร์ไฟฟ้า) และท่อที่ส่งของเหลวความร้อนที่ได้รับไปยังระบบภายนอก

    🏭 การใช้งานของหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนมักใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:
    อุตสาหกรรมเคมี: ใช้ในกระบวนการผลิตสารเคมีที่ต้องการความร้อนสูง เช่น การสังเคราะห์เคมี
    อุตสาหกรรมการผลิตอาหาร: ใช้ในการอบแห้ง หรือการผลิตอาหารที่ต้องใช้ความร้อนในการแปรรูป
    อุตสาหกรรมพลังงาน: ใช้ในการส่งผ่านความร้อนเพื่อผลิตพลังงานจากไอน้ำในโรงไฟฟ้า
    อุตสาหกรรมพลาสติก: ใช้ในกระบวนการหลอมพลาสติกหรือการให้ความร้อนแก่วัสดุเพื่อการขึ้นรูป
    อุตสาหกรรมการแปรรูปโลหะ: ใช้ในการอุ่นโลหะเพื่อการหลอมและแปรรูป

    🚨 ความสำคัญของการตรวจสอบหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    การตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น:
    การรั่วไหลของของเหลว: การรั่วไหลของของเหลวที่มีอุณหภูมิสูงอาจทำให้เกิดอันตรายต่อพนักงานหรือเสียหายต่อเครื่องจักร
    การสะสมของคราบตะกรัน: หากไม่ทำความสะอาดระบบเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดการสะสมของคราบตะกรันในท่อและอุปกรณ์ภายใน ทำให้ระบบทำความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ
    ความดันสูงเกินไป: หากไม่มีการควบคุมความดันอย่างเหมาะสม อาจทำให้ระบบระเบิดได้
    การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์: หากระบบการเผาไหม้ในหม้อต้มไม่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี อาจทำให้เกิดการปล่อยก๊าซอันตราย

    📋 การตรวจสอบหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    การตรวจสอบหม้อต้มประเภทนี้ต้องทำอย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงาน:
    ตรวจสอบการรั่วไหลของของเหลว: ตรวจดูท่อและส่วนที่เชื่อมต่อเพื่อหาจุดที่อาจมีการรั่วไหล
    การตรวจสอบระบบความดัน: ตรวจสอบความดันในระบบให้เหมาะสมกับระดับที่กำหนด
    การตรวจสอบการเผาไหม้: ตรวจสอบแหล่งให้ความร้อน เช่น หม้อเผาหรือฮีตเตอร์ ว่ายังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การตรวจสอบการสะสมของคราบตะกรัน: ตรวจสอบท่อและระบบภายในว่ามีการสะสมของตะกรันหรือสารที่ทำให้เกิดการอุดตันหรือไม่
    การตรวจสอบความสะอาดของอุปกรณ์: ตรวจสอบว่าท่อและส่วนประกอบต่าง ๆ ของระบบไม่ได้มีสิ่งสกปรกที่อาจลดประสิทธิภาพการทำงาน

    💡 การบำรุงรักษาหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน
    การบำรุงรักษาและตรวจสอบหม้อต้มอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งาน ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น และทำให้ระบบทำความร้อนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    เครื่องปั้มลม (Air Compressor) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการอัดอากาศหรือก๊าซให้มีความดันสูงขึ้น ซึ่งจะใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรที่ทำงานด้วยลม (Pneumatic Tools) หรือใช้ในการเก็บลมในถังสำหรับการใช้งานในระบบต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนอุปกรณ์, การทำความสะอาด, หรือการใช้ลมในการผลิต
    เครื่องปั้มลมมีหลายประเภทตามลักษณะการทำงานและการใช้งาน เช่น ปั้มลมลูกสูบ, ปั้มลมสกรู, ปั้มลมแบบโรตารี่ และอื่น ๆ โดยการเลือกประเภทของเครื่องปั้มลมจะขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานและลักษณะของงานที่ต้องการ

    🧰 ลักษณะของเครื่องปั้มลม
    ประเภทเครื่องปั้มลม:
    เครื่องปั้มลมลูกสูบ (Piston Air Compressor): ใช้ลูกสูบในการดูดและบีบอัดอากาศ โดยเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการลมปริมาณไม่มาก
    เครื่องปั้มลมสกรู (Screw Air Compressor): ใช้สกรูหมุนในการอัดอากาศ มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับงานที่ต้องการลมในปริมาณมาก
    เครื่องปั้มลมแบบโรตารี่ (Rotary Air Compressor): ใช้ล้อหมุนในการอัดอากาศ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับงานที่ต้องการลมในปริมาณมากและต้องการความเงียบในการทำงาน
    วัสดุที่ใช้: ส่วนใหญ่ทำจากเหล็กกล้า หรือวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนและสามารถทนต่อแรงดันสูงได้
    ระบบการทำงาน: เครื่องปั้มลมสามารถทำงานได้จากแหล่งพลังงานหลายประเภท เช่น พลังงานไฟฟ้า, เครื่องยนต์ดีเซล หรือเครื่องยนต์เบนซิน

    🏭 การใช้งานของเครื่องปั้มลม
    เครื่องปั้มลมมีการใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรมและกิจกรรม เช่น:
    อุตสาหกรรมการผลิต: ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยลม เช่น ปืนยิง, เครื่องพ่นสี
    อุตสาหกรรมการบำรุงรักษา: ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องจักร หรือสำหรับการทดสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ลม
    อุตสาหกรรมการก่อสร้าง: ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องมือก่อสร้างที่ใช้ลม เช่น เครื่องเจาะคอนกรีต
    อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: ใช้ในการบรรจุขวดหรือกระป๋อง หรือใช้ในการทำความสะอาด
    งานทางการแพทย์: ใช้ในเครื่องมือแพทย์บางชนิดที่ต้องการอากาศอัด
    การใช้ในงานทั่วไป: เช่น การเติมลมยางรถยนต์ หรือใช้ในเครื่องมือช่างต่าง ๆ

    🚨 ความสำคัญของการตรวจสอบเครื่องปั้มลม
    การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องปั้มลมอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัย เช่น:
    การรั่วไหลของอากาศ: หากเครื่องปั้มลมมีการรั่วไหลของอากาศจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง
    การสะสมของน้ำในถังเก็บลม: หากน้ำในระบบไม่ถูกระบายออกจะทำให้เกิดการกัดกร่อนและเสียหายต่อเครื่อง
    การสึกหรอของชิ้นส่วน: เช่น การสึกหรอของลูกสูบ หรือปีกของเครื่องปั้มลมที่อาจทำให้เครื่องทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การระบายความร้อนไม่ดี: ระบบการระบายความร้อนไม่ดีอาจทำให้เครื่องปั้มลมร้อนเกินไปและเกิดความเสียหาย
    การรั่วไหลของน้ำมันหล่อลื่น: การขาดน้ำมันหล่อลื่นจะทำให้เครื่องปั้มลมทำงานหนักขึ้นและอาจเสียหายได้

    📋 การตรวจสอบเครื่องปั้มลม
    การตรวจสอบเครื่องปั้มลมสามารถทำได้ในหลายจุดสำคัญ:
    ตรวจสอบระบบการอัดอากาศ: ตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลของอากาศในส่วนต่าง ๆ หรือไม่
    ตรวจสอบน้ำมันหล่อลื่น: ตรวจสอบระดับน้ำมันหล่อลื่นในเครื่องปั้มลม และเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นตามคำแนะนำจากผู้ผลิต
    ตรวจสอบการทำงานของระบบระบายความร้อน: ตรวจสอบว่าเครื่องปั้มลมมีการระบายความร้อนอย่างเหมาะสมหรือไม่
    ตรวจสอบปั๊มลมและชิ้นส่วนสำคัญ: ตรวจสอบการทำงานของปั๊มลม, ลูกสูบ หรือชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอื่น ๆ
    ตรวจสอบกรองอากาศ: ตรวจสอบและทำความสะอาดหรือเปลี่ยนกรองอากาศเพื่อป้องกันการอุดตัน

    💡 การบำรุงรักษาเครื่องปั้มลม
    การบำรุงรักษาเครื่องปั้มลมให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานต้องทำอย่างสม่ำเสมอ เช่น:
    เปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น ทุกระยะเวลาที่กำหนด
    ทำความสะอาดกรองอากาศ และตรวจสอบว่ากรองอากาศยังสามารถกรองสิ่งสกปรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ตรวจสอบความดันลม ในระบบเพื่อให้แน่ใจว่ามีการทำงานที่เหมาะสมและปลอดภัย
    ตรวจสอบการทำงานของมอเตอร์ ว่ายังคงทำงานได้ดีและไม่มีการสึกหรอ

    การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องปั้มลมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการใช้งาน และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

    เครื่องอัดอากาศ (Compressed Air System) คือ ระบบที่ใช้ในการอัดอากาศให้มีความดันสูง ซึ่งจะใช้ในการเก็บอากาศที่อัดไว้ในถังเก็บลมหรือจ่ายลมอัดไปยังเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานด้วยลมอัด เช่น เครื่องมือช่างลม, เครื่องจักร, ระบบทำความสะอาด, หรือแม้กระทั่งในอุตสาหกรรมที่ต้องการลมอัดเพื่อกระบวนการผลิต
    เครื่องอัดอากาศส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่ เครื่องปั้มลม (Compressor), ถังเก็บลม (Air Tank), ระบบท่อ, วาล์วควบคุมการไหลของอากาศ และกรองอากาศเพื่อให้ลมที่ออกมามีความสะอาดและเหมาะสมกับการใช้งาน

    🧰 ลักษณะของเครื่องอัดอากาศ
    เครื่องปั้มลม (Compressor): เป็นหัวใจสำคัญของระบบที่ทำหน้าที่อัดอากาศจากบรรยากาศและส่งไปยังถังเก็บลมหรืออุปกรณ์ที่ต้องการ
    ถังเก็บลม (Air Tank): ใช้สำหรับเก็บลมอัดที่ถูกอัดเข้าไปในระบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันทีหรือเก็บสำรองในกรณีที่การใช้งานต้องการลมในปริมาณมาก
    ระบบท่อ (Piping System): ใช้ในการส่งลมอัดจากเครื่องปั้มลมไปยังจุดต่าง ๆ ของระบบ
    วาล์วและอุปกรณ์ควบคุม (Valves and Controls): ใช้ในการควบคุมการไหลของอากาศ เช่น การเปิด-ปิด การควบคุมความดัน หรือการปรับอัตราการไหลของอากาศ
    กรองอากาศ (Air Filter): กรองสิ่งสกปรกหรือความชื้นในอากาศก่อนที่ลมจะถูกส่งไปยังอุปกรณ์ใช้งาน เพื่อป้องกันความเสียหายจากสิ่งปนเปื้อนในลมอัด

    🏭 การใช้งานของเครื่องอัดอากาศ
    เครื่องอัดอากาศมีการใช้งานหลากหลายประเภทในอุตสาหกรรมและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น:
    อุตสาหกรรมการผลิต: ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องมือที่ทำงานด้วยลม (Pneumatic Tools) เช่น ปืนยิง, เครื่องพ่นสี, เครื่องบด หรือเครื่องตัด
    อุตสาหกรรมการบำรุงรักษา: ใช้ในการทำความสะอาดเครื่องจักรหรือเครื่องมือ โดยการใช้ลมอัดในการเป่าฝุ่นหรือสิ่งสกปรก
    อุตสาหกรรมการก่อสร้าง: ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องมือที่ใช้ลมในการเจาะ, ขัด, หรือระเบิด
    อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: ใช้ในการบรรจุขวดหรือกระป๋องหรือในกระบวนการที่ต้องใช้ลมในการขับเคลื่อน
    การใช้ในงานทั่วไป: เช่น การเติมลมยาง, การทำความสะอาด, หรือการพ่นลมเพื่อควบคุมสภาพอากาศในบางสถานที่

    🚨 ความสำคัญของการตรวจสอบเครื่องอัดอากาศ
    การตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องอัดอากาศเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน:
    การรั่วไหลของอากาศ: การรั่วไหลของอากาศในท่อหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ จะทำให้สูญเสียพลังงานและทำให้ระบบทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การสะสมของน้ำในระบบ: น้ำที่สะสมในระบบอาจทำให้เกิดการกัดกร่อนในเครื่องจักรและท่อ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศ
    การสึกหรอของชิ้นส่วน: ชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนไหวภายในเครื่องอัดอากาศ เช่น ลูกสูบ หรือชิ้นส่วนที่เป็นปีกจะสึกหรอจากการใช้งาน
    การระบายความร้อนไม่ดี: หากระบบการระบายความร้อนไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้เครื่องอัดอากาศร้อนเกินไปและทำให้เครื่องมีความเสียหาย
    การปนเปื้อนในลมอัด: ลมอัดที่มีความชื้นสูงหรือมีสิ่งสกปรกอาจทำให้เครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ใช้ลมอัดเสียหายได้

    📋 การตรวจสอบเครื่องอัดอากาศ
    การตรวจสอบเครื่องอัดอากาศจะต้องทำในหลายจุดสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย:
    ตรวจสอบการรั่วไหลของอากาศ: ตรวจสอบท่อและจุดต่าง ๆ ที่อาจเกิดการรั่วไหลของอากาศ และทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย
    ตรวจสอบระบบกรองอากาศ: ตรวจสอบกรองอากาศเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกหรือความชื้นที่สามารถเข้าไปในระบบ
    ตรวจสอบระดับน้ำในถังเก็บลม: ถังเก็บลมอาจมีน้ำสะสมจากความชื้นในอากาศ ควรระบายออกเป็นระยะ
    ตรวจสอบการทำงานของวาล์วและอุปกรณ์ควบคุม: ตรวจสอบวาล์วและระบบควบคุมการไหลของอากาศเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น
    ตรวจสอบเครื่องปั้มลม: ตรวจสอบการทำงานของเครื่องปั้มลมว่าทำงานได้ดีหรือมีการสึกหรอ

    💡 การบำรุงรักษาเครื่องอัดอากาศ
    การบำรุงรักษาเครื่องอัดอากาศจะช่วยยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง:
    เปลี่ยนกรองอากาศ และทำความสะอาดเป็นระยะ
    ระบายน้ำในถังเก็บลม ทุกครั้งหลังการใช้งาน
    ตรวจสอบและเติมน้ำมันหล่อลื่น ตามระยะเวลาเพื่อป้องกันการสึกหรอ
    ตรวจสอบการทำงานของวาล์ว และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบ
    ทำความสะอาดเครื่องปั้มลม และท่อที่ใช้ในการส่งลมเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    การบำรุงรักษาเครื่องอัดอากาศอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการใช้งาน และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน

  • บริการตรวจสอบอาคารประจำปี

    บริการตรวจสอบอาคารประจำปี

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    🏢 บริการตรวจสอบอาคารประจำปี
    Building Inspection Service — ตรวจครบ มั่นใจ ปลอดภัยทุกปี!
    บริการตรวจสอบอาคารประจำปี
    คือการตรวจสอบสภาพของอาคารและองค์ประกอบต่าง ๆ ของอาคาร โดยวิศวกรหรือผู้ตรวจสอบที่ได้รับใบอนุญาต เพื่อให้มั่นใจว่าอาคารมีความมั่นคงแข็งแรง ปลอดภัย และสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร (พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)

    📋 ขอบเขตการตรวจสอบประกอบด้วย:
    ✔️ ตรวจสอบโครงสร้างอาคาร — ความมั่นคง, ความเสียหาย
    ✔️ ตรวจสอบระบบไฟฟ้า — สายไฟ, เบรกเกอร์, ระบบสายดิน
    ✔️ ตรวจสอบระบบลิฟต์ — ความปลอดภัย, การทำงาน
    ✔️ ตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัย — Fire Alarm, ถังดับเพลิง, ทางหนีไฟ
    ✔️ ตรวจสอบระบบสุขาภิบาลและระบายน้ำ
    ✔️ ตรวจสอบระบบระบายอากาศและการป้องกันอันตรายอื่น ๆ

    💡 ทำไมต้องตรวจสอบอาคารประจำปี?
    ✅ เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งาน
    ✅ ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากโครงสร้างและระบบต่าง ๆ
    ✅ เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด ป้องกันค่าปรับจากภาครัฐ
    ✅ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้า, ผู้เช่า และผู้ใช้อาคาร
    ✅ มีรายงานผลตรวจสอบโดยวิศวกร พร้อมใบรับรองถูกต้องตามกฎหมาย

    🔧 เหมาะสำหรับอาคารประเภทไหนบ้าง?
    🏢 อาคารสำนักงาน
    🏬 อาคารพาณิชย์ ห้างสรรพสินค้า
    🏭 โรงงานอุตสาหกรรม
    🏨 โรงแรม, คอนโด, อพาร์ทเมนต์
    🏢 อาคารสาธารณะ หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ

    📞 บริการตรวจสอบโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ใบอนุญาตครบถ้วน!
    ให้เราช่วยดูแลความปลอดภัยของอาคารคุณ —
    มั่นใจ ปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมาย 100%!

    🏢 บริการตรวจสอบอาคารประจำปี คืออะไร?
    บริการตรวจสอบอาคารประจำปี
    คือ การตรวจสอบสภาพโครงสร้างและระบบต่าง ๆ ของอาคารโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความแข็งแรง ความปลอดภัย และความพร้อมในการใช้งานของอาคาร ให้สอดคล้องกับข้อกำหนดตามกฎหมายควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
    โดยอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบประจำปี เช่น
    อาคารสูง
    อาคารขนาดใหญ่พิเศษ
    โรงงาน
    ห้างสรรพสินค้า
    โรงแรม
    คอนโดมิเนียม
    อาคารสำนักงาน ฯลฯ

    🧰 เนื้อหาการตรวจสอบประกอบด้วย
    ตรวจสอบโครงสร้างอาคาร — ความแข็งแรง, การแตกร้าว, การทรุดตัว
    ตรวจสอบระบบไฟฟ้า — ระบบสายไฟ, ระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
    ตรวจสอบระบบลิฟต์และบันไดเลื่อน
    ตรวจสอบระบบป้องกันอัคคีภัย — ถังดับเพลิง, สัญญาณเตือนไฟไหม้, ทางหนีไฟ
    ตรวจสอบระบบสุขาภิบาล, ระบายน้ำ
    ตรวจสอบความปลอดภัยโดยรวมของตัวอาคาร

    💡 ประโยชน์ของการตรวจสอบอาคารประจำปี
    ✅ ป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สิน
    ✅ ช่วยวางแผนบำรุงรักษาอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ
    ✅ ปฏิบัติตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากค่าปรับ
    ✅ สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งาน

    บริการนี้จะสิ้นสุดด้วยการจัดทำ รายงานผลตรวจสอบพร้อมใบรับรอง
    ออกโดยวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย
    เพื่อยืนยันว่าอาคารปลอดภัยและผ่านการตรวจสอบแล้ว

  • บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา Wire Rope Visual Inspections.

    บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา Wire Rope Visual Inspections.

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    🧰 บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา
    Wire Rope Visual Inspections
    เล็กน้อยที่มองข้าม = ความเสี่ยงมหาศาล!
    ลวดสลิง คือหัวใจของการยก-เคลื่อนย้ายของหนัก
    แต่รู้หรือไม่? แค่รอยแตก เส้นลวดขาดเพียงเส้นเดียว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุที่คุณไม่คาดคิด!
    บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา ของเรา
    ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของคุณพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัย!

    🔍 ขอบเขตการตรวจสอบ
    ✅ ตรวจสอบการขาดของเส้นลวด (Broken Wires)
    ✅ ตรวจสอบการสึกหรอ และการกัดกร่อน (Corrosion)
    ✅ ตรวจสอบการบิดเบี้ยว หรือบวมตัวผิดรูป
    ✅ ตรวจสอบร่องรอยการถูกบีบอัด และความเสียหายจากการใช้งาน
    ✅ จัดทำรายงานผลตรวจสอบ พร้อมคำแนะนำโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ

    💡 ทำไมต้องตรวจลวดสลิง?
    ✔️ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
    ✔️ ประหยัดงบประมาณซ่อมแซม-เปลี่ยนอุปกรณ์ฉุกเฉิน
    ✔️ ปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัยแรงงาน
    ✔️ เสริมความมั่นใจให้กับทีมงานและองค์กรของคุณ

    🧑‍🔧 ตรวจเร็ว ทันใจ ออกใบรับรองถูกต้อง!
    ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราช่วยดูแลความปลอดภัยของคุณ
    เพราะอุบัติเหตุป้องกันได้ ด้วยการตรวจสอบเชิงป้องกัน (Preventive Safety)

    บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา (Wire Rope Visual Inspections) คืออะไร?
    บริการตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา (Wire Rope Visual Inspections) คือ การตรวจสอบลวดสลิงที่ใช้ในงานยกเคลื่อนย้าย ว่าอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เหมาะสมกับการใช้งาน หรือมีความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหาย โดยใช้ การตรวจสอบด้วยสายตาโดยตรง จากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมและมีประสบการณ์

    🔧 รายละเอียดการตรวจสอบ
    การตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตาจะเน้นไปที่:
    ✔️ ตรวจหาการขาดของเส้นลวดในแต่ละช่วง (Broken Wires)
    ✔️ ตรวจสอบร่องรอยการสึกหรอหรือการกัดกร่อน (Corrosion)
    ✔️ ตรวจสอบการบิดงอหรือเปลี่ยนรูปทรงผิดปกติ (Deformation)
    ✔️ ตรวจสอบการหลวมตัวของเกลียว หรือรอยแตกบนพื้นผิวลวด
    ✔️ ตรวจสอบจุดยึดปลายลวด (Socket, Clamp, Thimble)
    การตรวจสอบนี้จะช่วยประเมินว่าลวดสลิงยังคงเหมาะสมต่อการใช้งานหรือควรถอดเปลี่ยนใหม่ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานและอุปกรณ์ในหน้างาน

    💡 ทำไมต้องตรวจสอบลวดสลิงด้วยสายตา?
    ✅ ป้องกันอุบัติเหตุจากลวดสลิงขาดหรือเสียหาย
    ✅ รักษาประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของลวดสลิง
    ✅ สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายความปลอดภัย
    ✅ เสริมความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานในทุกภารกิจยกเคลื่อนย้าย

    📋 ผลลัพธ์หลังการตรวจสอบ
    หลังการตรวจสอบ ผู้ตรวจจะจัดทำ รายงานผลการตรวจสอบอย่างละเอียด พร้อมคำแนะนำในการบำรุงรักษา, เปลี่ยนหรือซ่อมแซม เพื่อให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยตลอดการใช้งาน

  • บริการตรวจสอบ Boom lift , X-lift , Scissor lift

    บริการตรวจสอบ Boom lift , X-lift , Scissor lift

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    บริการตรวจสอบ Boom Lift, X-Lift, Scissor Lift คืออะไร?
    บริการนี้คือการตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ยกคนทำงานบนที่สูง ได้แก่
    Boom Lift — รถกระเช้ายกสูงแบบแขนพับและแขนยืด
    X-Lift หรือเรียกกันว่า Scissor Lift — ลิฟต์ยกคนแนวตั้ง ใช้กลไกแบบกรรไกรยกตัวขึ้น-ลง
    Man Lift / Personnel Lift — ลิฟต์ยกเฉพาะบุคคล แบบเสาขึ้น-ลง
    โดยตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของกฎหมายแรงงาน และข้อกำหนดของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ก่อนนำไปใช้งานในหน้างานจริง

    🧰 ขอบเขตงานตรวจสอบ Boom Lift, X-Lift, Scissor Lift
    ✔️ ตรวจสอบโครงสร้าง, ความแข็งแรงของตัวเครื่อง
    ✔️ ตรวจสอบระบบไฮดรอลิก, สายพาน, กระบอกสูบ
    ✔️ ตรวจสอบระบบเบรก, ระบบควบคุมการเคลื่อนที่
    ✔️ ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์นิรภัยทั้งหมด
    ✔️ ทดสอบการยกน้ำหนัก (Load Test) ตามค่าพิกัดที่ผู้ผลิตกำหนด
    ✔️ ตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยและออกใบรับรองโดยวิศวกร
    💡 ประโยชน์ของการตรวจสอบ
    ✅ ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุระหว่างใช้งาน
    ✅ ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายด้านความปลอดภัย
    ✅ เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานและลูกค้า
    ✅ ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร ลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงฉุกเฉิน

    🔥 ตรวจสอบ Boom Lift, X-Lift, Scissor Lift
    งานสูงปลอดภัย… วางใจมืออาชีพ!
    เพราะความปลอดภัย คือเรื่องใหญ่!
    ก่อนที่คุณจะยกพนักงานขึ้นไปทำงานในที่สูง
    มั่นใจหรือยังว่าเครื่องของคุณ “พร้อม” และ “ปลอดภัย” จริง ๆ?
    เราคือผู้เชี่ยวชาญด้าน บริการตรวจสอบและออกใบรับรอง Boom Lift, X-Lift, Scissor Lift
    ครบวงจรตามมาตรฐานความปลอดภัยอุตสาหกรรม!

    💼 บริการของเรา ครอบคลุม:
    ✅ ตรวจสอบโครงสร้าง แข็งแรง มั่นคง ปลอดภัย
    ✅ ตรวจเช็คระบบไฮดรอลิก ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์ป้องกัน
    ✅ ทดสอบน้ำหนักจริง (Load Test) พร้อมออกใบรับรอง
    ✅ ตรวจสอบตามข้อกำหนด กฎหมายแรงงาน และกรมโรงงาน

    🚀 ทำไมต้องเลือกเรา?
    💡 ทีมวิศวกรมืออาชีพ มีใบอนุญาตรับรอง
    💡 รายงานตรวจสอบละเอียด พร้อมคำแนะนำ
    💡 รวดเร็ว ทันเวลา ราคายุติธรรม
    💡 เพิ่มความเชื่อมั่นให้พนักงานและลูกค้า
    💡 ผ่านการรับรองตามกฎหมาย มั่นใจเต็ม 100%

    📞 พร้อมให้บริการแล้วทั่วประเทศ!
    อย่ารอให้อุบัติเหตุเกิดก่อน ถึงจะเริ่มใส่ใจ!
    ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาวันนี้!

  • บริการตรวจสอบกระเช้า (Man Basket)

    บริการตรวจสอบกระเช้า (Man Basket)

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    บริการตรวจสอบกระเช้า (Man Basket) คืออะไร?
    Man Basket หรือที่เรียกกันว่า กระเช้ายกคน
    เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับเครน, รถเฮี๊ยบ, หรือรถบูมลิฟต์ สำหรับยกพนักงานขึ้นไปทำงานในที่สูง เช่น งานติดตั้ง, งานซ่อมบำรุง, งานทาสี หรือ งานเชื่อมในพื้นที่สูง
    เพื่อความปลอดภัยสูงสุด กระเช้าจำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยของกรมโรงงานอุตสาหกรรม และตามข้อกำหนดของกฎหมายก่อนนำไปใช้งาน

    🔧 ขอบเขตการให้บริการตรวจสอบกระเช้า (Man Basket)
    ✔️ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของโครงสร้างเหล็กของกระเช้า
    ✔️ ตรวจสอบการเชื่อม, การแตกร้าว, การบิดงอของตัวกระเช้า
    ✔️ ตรวจสอบราวกันตก, จุดยึดเข็มขัดนิรภัย, พื้นกระเช้า และล้อรองรับ
    ✔️ ตรวจสอบระบบล็อคและอุปกรณ์เสริมความปลอดภัย
    ✔️ ทดสอบน้ำหนัก (Load Test) ตามกำหนด
    ✔️ ออกใบรับรองผลตรวจสอบโดยวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต (Certificate)

    ประโยชน์ของการตรวจสอบกระเช้า (Man Basket)
    ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุขณะใช้งาน
    เป็นไปตามกฎหมายแรงงานและข้อกำหนดของหน่วยงานราชการ
    เสริมความมั่นใจให้ผู้ปฏิบัติงานในที่สูง
    สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรเรื่องความปลอดภัย

  • บริการ ตรวจสอบแนวเชื่อม แบบ PT ,MT, UT

    บริการ ตรวจสอบแนวเชื่อม แบบ PT ,MT, UT

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

     บริการ ตรวจสอบแนวเชื่อม แบบ PT ,MT, UT

    1.1 การทดสอบโดยใช้สารแทรกซึม Liquid Penetrant Testing ( PT )
         เป็นการหารอยแตกร้าวบนพื้นผิวทุกชนิดที่ ผิวหน้าเรียบ ไม่เป็นรูพรุน เหมาะกับการตรวจรอยแตกร้าวของภาชนะแรงดันหรือสารเคมีที่ไม่ได้ทำจากเหล็กคาร์บอน (Ferrous Steel) เช่น Stainless , Fiber glass  ฯลฯ การทดสอบอาศัยหลักการทาหรือพ่น ของเหลวย้อมสีที่มีคุณสมบัติแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวหรือรูเล็กๆ ได้ดี จากนั้นจะใช้สารเคมีหรือน้ำยาที่มีคุณลักษณะคล้ายกระดาษซับ โรยบริเวณที่จะทำการการทดสอบ หากมีรอยแตกร้าวจะเกิดเป็นเส้นหรือแนวให้เห็นอย่างเด่นชัด
    1.2 การทดสอบโดยใช้ผงแม่เหล็ก Magnetic Particle Testing ( MT ) 
           เป็นการหารอยร้าวบนพื้นผิวของวัสดุที่เป็นโลหะประเภทเหล็ก โดยอาศัยการเหนี่ยวนำจากไฟฟ้ากระแสตรง (DC Current) หรือไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Current) บริเวณที่จะทดสอบให้เป็นแม่เหล็ก และทำการโรยผงเหล็กย้อมสีขนาดเล็กลงบนบริเวณที่ทดสอบ หากมีรอยแตกร้าวขนาดเล็กบนผิวชิ้นงาน จะมีสนามแม่เหล็กรั่วในบริเวณดังกล่าวและดึงดูดผงเหล็กให้เกาะกันเป็นแนวเส้นที่เห็นได้อย่างเด่นชัด โดยมีแบบเห็นด้วยตาเปล่าและแบบใช้แสง Black Light

    1.3 การทดสอบโดยคลื่นความถี่ Ultrasonic Testing ( UT )

                 คลื่นความถี่สูงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทดสอบโดยไม่ทำลายอย่างมากมาย
          มีการพัฒนาตลอดเวลาและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบัน
          บริษัทฯได้นำความรู้ด้านคลื่นความถี่สูงมาประยุกต์ใช้กับงานทดสอบ ดังนี้      1.3.1   การหาความหนาวัสดุโดยใช้คลื่นความถี่สูง (Ultrasonic Thickness Measurement)   ใช้หาความหนาที่เหลืออยู่ภายหลังการใช้งานของภาชนะบรรจุแรงดัน เช่น ถัง LPG, NGV, ถังบรรจุสารเคมี เนื่องจาก เมื่อถังหรือ  อุปกรณ์ดังกล่าวเมื่อใช้ไปนานๆ หรือถูกสารเคมีที่กัดกร่อนสูง จะบางลงจนไม่สามารถรับแรงหรือภาระต่างๆตามที่ได้ออกแบบไว้   
         1.3.2    การหาความสมบูรณ์ของโลหะโดยคลื่นความถี่สูง (Ultrasonic Flaw Detector)  เป็นการใช้คลื่นความถี่สูง ในการตรวจความสมบูรณ์ของเนื้อโลหะภายหลังการขึ้นรูปด้วยการเชื่อม (Welding) การหล่อ (Casting, foundry) ของถังและเครื่องจักรอุปกรณ์ สามารถตรวจหาตำหนิที่มีลักษณะระนาบ (Planar Defect) เช่น การหลอมละลายไม่สมบูรณ์, รอยร้าว ได้ดี
        Cr. ราชพฤษ์วิศวกรรม 

  • บริการตรวจสอบ สายส่งน้ำดับเพลิง & วาล์วจ่ายน้ำ

    บริการตรวจสอบ สายส่งน้ำดับเพลิง & วาล์วจ่ายน้ำ

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    กฎกระทรวง
    กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยพ.ศ. ๒๕๕๕

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ มาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้

    หมวด ๑ บททั่วไป
    ข้อ ๒ ให้นายจ้างจัดให้มีระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยในสถานประกอบกิจการตามกฎกระทรวงนี้ และต้องดูแลระบบป้องกันและระงับอัคคีภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป นอกจากต้องปฏิบัติตามข้อ ๓ แล้ว ให้นายจ้างจัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย ประกอบด้วยการตรวจตรา การอบรม การรณรงค์ป้องกันอัคคีภัย การดับเพลิง การอพยพหนีไฟ และการบรรเทาทุกข์ ให้นายจ้างจัดเก็บแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย ณ สถานประกอบกิจการพร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบได้

    หมวด ๓ การดับเพลิง
    ข้อ ๑๒ ให้นายจ้างจัดให้มีระบบน้ำดับเพลิงและอุปกรณ์ประกอบเพื่อใช้ในการดับเพลิงที่สามารถดับเพลิงขั้นต้นได้อย่างเพียงพอในทุกส่วนของอาคาร
    (๒) ระบบการส่งน้ำ ที่เก็บกักน้ำ เครื่องสูบน้ำดับเพลิง และการติดตั้ง จะต้องได้รับการตรวจสอบและรับรองจากวิศวกรตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร
    (๓) ข้อต่อท่อรับน้ำดับเพลิงเข้าอาคารและข้อต่อส่งน้ำภายในอาคารจะต้องเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในหน่วยดับเพลิงของทางราชการในท้องถิ่น หรือต้องมีอุปกรณ์ที่จะช่วยสวมระหว่างข้อต่อที่ใช้กับหน่วยดับเพลิงของทางราชการในท้องถิ่นนั้น
    (๔) ข้อต่อสายส่งน้ำดับเพลิงและหัวฉีดดับเพลิงจะต้องเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในหน่วยดับเพลิงของทางราชการในท้องถิ่นนั้น ซึ่งสามารถต่อเข้าด้วยกันได้หรือต้องมีอุปกรณ์ที่จะช่วยสวมระหว่างข้อต่อหรือหัวฉีดดับเพลิงดังกล่าว
    (๕) สายส่งน้ำดับเพลิงต้องมีความยาวหรือต่อกันให้มีความยาวเพียงพอที่จะควบคุมบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ได้
    ข้อ ๑๓ ให้นายจ้างจัดให้มีเครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ โดยต้องปฏิบัติ
    (๑) จัดให้มีเครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ตามประเภทของเพลิง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนด
    (๒) เครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนย้ายได้ทุกเครื่อง ต้องจัดให้มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นชนิดใด ใช้ดับเพลิงประเภทใด และเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์นั้นต้องมีขนาดที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่าหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร
    (๕) จัดให้มีการดูแลรักษาและตรวจสอบเครื่องดับเพลิงให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี โดยการตรวจสอบต้องไม่น้อยกว่าหกเดือนต่อหนึ่งครั้ง พร้อมกับติดป้ายแสดงผลการตรวจสอบและวันที่ทำการตรวจสอบครั้งสุดท้ายไว้ที่อุปกรณ์ดังกล่าว และเก็บผลการตรวจสอบไว้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจได้ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีการซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายสารดับเพลิงตามข้อกำหนดของผู้ผลิตด้วย

    ข้อ ๑๔ กรณีที่นายจ้างจัดให้มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
    (๑) ระบบดับเพลิงอัตโนมัติต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
    (๒) ต้องเปิดวาล์วประธานที่ควบคุมระบบจ่ายน้ำเข้าอยู่ตลอดเวลา และจัดให้มีผู้ควบคุมดูแลให้ใช้งานได้ตลอดเวลา
    (๔) ต้องไม่มีสิ่งกีดขวางทางน้ำหรือสารดับเพลิงอื่นจากหัวฉีดดับเพลิงโดยรอบ

  • บริการตรวจสอบ Boiler หม้อไอน้ำและภาชนะรับแรงดัน

    บริการตรวจสอบ Boiler หม้อไอน้ำและภาชนะรับแรงดัน

     ได้รับการรับรองจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

    บริษัท อินดักชั่น เซฟตี้ แอนด์ เทรนนิ่ง อีควิปเม้นท์ จำกัด ได้ผ่านการขึ้นทะเบียนตามประกาศใช้กฎหมายใหม่ของกองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ตามมาตรา 11 สำหรับ ผู้ทดสอบเครื่องจักร (ลิฟต์,เครื่องจักรสำหรับยกขนขึ้นทำงานบนที่สูง,รอก) ปั้นจั่น, หม้อน้ำ,หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน,ภาชนะรับแรงดัน ตามกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียนและการอนุญาตให้บริการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.๒๕๖๔

    การตรวจสอบ  Boiler หม้อไอน้ำและภาชนะรับแรงดัน
    กฏกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
    ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 108 ลงวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2535

    มีเนื้อหาและสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้หม้อไอน้ำ ดังนี้ข้อ 6 เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือสิ่งที่นำมาใช้ในโรงงานต้องเป็นดังต่อไปนี้
    มั่นคง แข็งแรง และเหมาะสม และในกรณีมีเหตุอันควร รัฐมนตรีจะกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้การนำเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือสิ่งที่นำมาใช้ในโรงงานชนิดใดต้องมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ได้
    ใช้เครื่องจักรที่มีความปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนเสียง หรือคลื่นวิทยุ รบกวนผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง
    มีเครื่องป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจากส่วนที่เคลื่อนไหวของเครื่องจักรตามความจำเป็นเหมาะสม
    บ่อหรือถังเปิดที่ทำงานสนองกันกับเครื่องจักรที่อาจเป็นอันตรายในการปฏิบัติงานของคนงาน ต้องมีขอบหรือราวกั้นแข็งแรงและปลอดภัยทางด้านที่คนเข้าถึงได้สูงไม่น้อยกว่า 100 เซนติเมตร จากระดับพื้นที่ติดกับบ่อหรือถังนั้น
    หม้อไอน้ำ (boiler) หม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซหรือเป็นสื่อนำความร้อน เครื่องอัดก๊าซ (compressor) หรือถังปฏิกิริยา (reactor) และระบบท่อ เครื่องจักรหรือภาชนะที่ทำงานสนองกัน โดยมีความกดดันแตกต่างจากบรรยากาศ ซึ่งใช้กับหม้อไอน้ำ หม้อต้มที่ใช้ ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อน เครื่องอัดก๊าซ หรือถังปฏิกิริยาดังกล่าว ต้องได้รับการออกแบบคำนวณ และสร้างตามมาตรฐานที่ยอมรับ หรือผ่านการทดสอบความปลอดภัยในการใช้งาน โดยมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาการติดตั้งต้องมั่นคงแข็งแรงปลอดภัยในการใช้งาน มีอุปกรณ์ความปลอดภัย และมีส่วนประกอบที่จำเป็นตามหลักวิชาการ โดยมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
    ภาชนะบรรจุที่มีความกดดันต่างจากบรรยากาศ (pressure vessel) ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับ มีอุปกรณ์ความปลอดภัยและส่วนประกอบที่จำเป็นตามหลักวิชาการ โดยมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่น ที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
    ภาชนะบรรจุวัตถุอันตราย เช่น วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด วัตถุเคมี หรือของเหลวอื่นใดที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อมที่มีขนาดของภาชนะบรรจุตั้งแต่ 25,000 ลิตรขึ้นไปต้องมั่นคงแข็งแรงเป็นไปตามมาตรฐานที่ยอมรับโดยมีคำรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาและต้องสร้างเขื่อนหรือกำแพงคอนกรีตโดยรอบให้มีขนาดที่สามารถจะกักเก็บปริมาณของวัตถุดังกล่าวได้ทั้งหมด เว้นแต่กรณีที่มีภาชนะบรรจุมากกว่าหนึ่งถังให้สร้างเขื่อนที่สามารถเก็บกักวัตถุอันตรายนั้น เท่ากับปริมาตรของถังเก็บขนาดใหญ่ที่สุด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของวัตถุที่บรรจุได้อย่างมีประสิทธิภาพในกรณีเมื่อเกิดวิบัติแก่ภาชนะดังกล่าว และต้องจัดให้มีวัตถุหรือเคมีภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการระงับหรือลดความรุนแรงของการแพร่กระจายได้อย่างเหมาะสมและเพียงพอ
    ในกรณีที่ภาชนะบรรจุนั้นตั้งอยู่ในที่โล่งแจ้ง ต้องมีสายล่อฟ้าให้เป็นไปตามหลักวิชาการและภาชนะบรรจุที่อาจเกิดประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้ในตัวต้องต่อสายดิน
    การติดตั้งท่อและอุปกรณ์สำหรับส่งวัตถุตามท่อต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน
    ระบบไฟฟ้า การเดินสายไฟฟ้า และการติดตั้งเครื่องยนต์ไฟฟ้า สวิทซ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าอื่น ต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับกันโดยมีคำรบรองของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา 
     
    ข้อ 8 โรงงานที่มีการใช้หม้อไอน้ำ (Boiler) หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อนที่มีความกดดันต่างจากบรรยากาศ ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีผู้ควบคุม (Operator) ประจำหม้อไอน้ำ (Boiler) หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อน ทั้งนี้ โดยผู้ควบคุมดังกล่าว ต้องมีคุณวุฒิได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาช่างกลโรงงาน หรือช่างยนต์ หรือช่างผู้ชำนาญงานที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมหม้อไอน้ำ (Boiler) จากกระทรวงอุตสาหกรรม หรือสถาบันอื่นที่กระทรวงอุตสาหกรรมรับรอง 
     
    โรงงานที่มีการใช้หม้อไอน้ำ (Boiler) ขนาดกำลังผลิตตั้งแต่ 20 ตันต่อชั่วโมงขึ้นไป นอกจากต้องดำเนินการจัดให้มีผู้ควบคุมดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นวิศวกรผู้ควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ (Boiler) ด้วย 
     
     
    ข้อ 9 โรงงานที่ประกอบกิจการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำ (Boiler) หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อนผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นผู้ควบคุมการสร้างหรือการซ่อม
     
                                             กฏกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2535)

    มีเนื้อหาและสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการใช้หม้อไอน้ำ ดังนี้
    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 8 (7) แห่ง พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปนี้ 
    ข้อ 2 โรงงานที่มีการใช้หม้อไอน้ำ (Boiler) หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อนที่มีความกดดันต่างจากบรรยากาศต้องจัดทำรายงานข้อมูลการตรวจและการทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ 
    ข้อ 3 โรงงานที่ประกอบกิจการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำ (Boiler) หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวหรือก๊าซเป็นสื่อนำความร้อนที่มีความกดดันต่างจากบรรยากาศต้องจัดทำรายงานข้อมูลการผลิต การตรวจและการทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ 
    ข้อ 6 ให้โรงงานที่มีการผลิต การเก็บ หรือการใช้วัตถุอันตรายตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย ต้องจัดทำข้อมูลความปลอดภัย (Material Safety Data Sheet) เกี่ยวกับลักษณะอันตรายตามคุณสมบัติของวัตถุนั้นๆ
     


                           ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 18 (พ.ศ.2528)

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 39(12) และ (16) แห่งพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานมีหน้าที่ต้องกระทำการ ดังต่อไปนี้ 
    ข้อ 1 ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทหรือชนิดที่มีการใช้หม้อไอน้ำสำหรับประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ดังนี้ 
    ต้องติดตั้งลิ้นนิรภัย (Safety Valve) อย่างน้อย 2 ชุด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของบ่าลิ้นนิรภัยไม่น้อยกว่า 15 มิลลิเมตร ที่สามารถตรวจทดสอบการใช้งานได้ง่ายสำหรับหม้อไอน้ำที่มีพื้นที่ผิวรับความร้อนน้อยกว่า 50 ตารางเมตร จะมีลิ้นนิรภัยเพียง 1 ชุด ก็ได้ในการติดตั้งลิ้นนิรภัยต้องไม่มีลิ้นเปิดปิด (Stop Value) คั่นระหว่างหม้อไอน้ำกับลิ้นนิรภัย และต้องมีท่อระบายไอน้ำจากลิ้นนิรภัยไปยังที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย
    ต้องติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำชนิดหลอดแก้วไว้ให้เห็นได้ชัดพร้อมลิ้นปิดเปิดเพื่อตรวจสอบระดับน้ำและต้องมีท่อระบายไปยังที่เหมาะสมปลอดภัย ทั้งนี้ต้องจัดให้มีเครื่องป้องกันหลอดแก้วด้วย
    ต้องติดตั้งเครื่องวัดความดันไอน้ำ (Pressure Gauge) ขนาดหน้าปัทม์เส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 100 มิลลิเมตร มีสเกลสามารถวัดความดันได้ 1.5 ถึง 2 เท่า ของความดันใช้งานสูงสุดและต้องมีเครื่องหมายแสดงระดับความดันอันตรายไว้ให้เห็นได้ชัดเจน
    ต้องติดตั้งเครื่องสูบน้ำเข้าหม้อไอน้ำ (Feed Water Pump) ขนาดความสามารถอัดน้ำได้อย่างน้อย 1.5 เท่า ของความดันใช้งานสูงสุด และความสามารถในการสูบน้ำเข้าต้องมากกว่าอัตราการผลิตไอน้ำ
    ต้องติดตั้งลิ้นกันกลับ (Check Value)ที่ท่อน้ำเข้าหม้อไอน้ำโดยติดตั้งให้ใกล้หม้อไอน้ำมากที่สุดและมีขนาดเท่ากับท่อน้ำเข้า
    ต้องติดตั้งลิ้นจ่ายไอน้ำ (Main- Steam Value) ที่ตัวหม้อไอน้ำ
    โรงงานที่มีหม้อไอน้ำตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไป ที่ใช้ท่อจ่ายไอน้ำร่วมกันต้องติดตั้งลิ้นกันกลับ (Check Value) ที่ท่อหลังลิ้นจ่ายไอน้ำ (Main Steam Value) ของหม้อไอน้ำแต่ละเครื่องฃ
    หม้อไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงเหลว เช่น น้ำมัน ก๊าซ ต้องติดตั้งเครื่องควบคุมความดัน (Pressure Control) และเครื่องควบคุมระดับน้ำอัตโนมัติ (Water Level Control)
    ต้องติดตั้งสัญญาณเตือนอัตโนมัติ (Automatic Alarm) แจ้งอันตรายเมื่อระดับน้ำในหม้อไอน้ำต่ำกว่าระดับใช้งานปกติ
    ต้องจัดให้มีฉนวนหุ้มท่อจ่ายไอน้ำโดยตลอด
    ท่อน้ำ ท่อจ่ายไอน้ำ ลิ้นปิดเปิดทุกตัวและอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กับหม้อไอน้ำ ต้องเป็นชนิดที่ใช้สำหรับหม้อไอน้ำเท่านั้น และเหมาะสมกับความดันใช้งานด้วย
    หม้อไอน้ำที่สูงเกินกว่า 3 เมตรจากพื้นต้องติดตั้งบันไดและทางเดินไว้รอบหม้อไอน้ำ
    ต้องจัดให้มีลิ้นปิดเปิด (Blow Down Value) เพื่อระบายน้ำจากส่วนล่างสุดของหม้อไอน้ำ ให้สามารถระบายได้สะดวกไปยังที่ที่เหมาะสมและปลอดภัย
    ข้อ 3 ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทหรือชนิดที่มีการใช้หม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (ชนิดที่มีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศซึ่งมีรูปร่างคล้ายคลึงหม้อไอน้ำและใช้งานคล้ายคลึงกับหม้อไอน้ำ) สำหรับประกอบกิจการโรงงานต้องจัดให้มีผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (Operator) ที่มีคุณวุฒิได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาช่างกลโรงงาน หรือช่างยนต์ หรือช่างผู้ชำนาญงาน ที่ผ่านการทดสอบฝึกอบรมหลักสูตรผู้ควบคุมหม้อไอน้ำ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถาบันอื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับรอง 
    ข้อ 4 ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่ประกอบกิจการโรงงานสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนต้องจัดให้มีวิศวกรสาขาเครื่องกลผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505 เป็นผู้ควบคุมการสร้างหรือซ่อม 
    ข้อ 5 วิศวกรผู้ตรวจทดสอบความปลอดภัยในการใช้งานหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน ผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน วิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ และวิศวกรควบคุมการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนตามที่กล่าวไว้ในข้อ 2 ข้อ 3 และข้อ 4 ต้องเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมตามระเบียบและวิธีการที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนด 
    ข้อ 6 กรณีผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกรควบคุม และอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ วิศวกรควบคุมการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนและผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานใดลาออก หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว หรือขาดต่ออายุการขึ้นทะเบียน หรือไม่ได้รับการอนุญาตให้ต่ออายุการขึ้นทะเบียน หรือถูกเพิกถอนการขึ้นทะเบียน ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานรายนั้น ต้องแจ้งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมทราบทันที และจัดหามาทดแทนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว 
    ข้อ 7 ประกาศฉบับนี้ให้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                                     ประกาศกระทรวงมหาดไทย (พ.ศ. 2519)
                                     หมวด 2 ความปลอดภัยเกี่ยวกับหม้อไอน้ำ

    ข้อ 11 ให้นายจ้างซึ่งใช้หม้อน้ำปฏิบัติดังต่อไปนี้ 
    หม้อไอน้ำที่ใช้ต้องมีคุณภาพแข็งแรง สามารถทนความดันไอน้ำ (Safety Factor) ได้สูงไม่น้อยกว่าสี่เท่าของความดันที่ใช้งานปกติ
    รอบหม้อไอน้ำต้องมีฉนวนป้องกันการกระจายความร้อนตามผิวโดยรอบ
    ฐานรากที่ตั้งของหม้อไอน้ำและปล่องควัน ต้องจัดทำให้มั่นคง แข็งแรงโดยวิศวกรโยธา ซึ่ง ก.ว. รับรองเป็นผู้กำหนดและติดตั้งสายล่อฟ้าที่บนปล่องควันด้วย ทั้งนี้ไม่รวมถึงหม้อไอน้ำ และปล่องควันที่ใช้กับยานพาหนะ
    หม้อไอน้ำ ต้องจัดให้มีลิ้นปลอดภัย (Safety Valve) ที่ปรับความดันไอน้ำให้ถูกต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชุด และต้องไม่มีลิ้นปิดเปิด(Stop Valve) คั่นระหว่างหม้อไอน้ำกับลิ้นปลอดภัย
    ต้องติดตั้งเครื่องวัดความดันไอน้ำที่ผลิตได้ซึ่งมีเครื่องหมายแสดงระดับความดันอันตรายไว้ให้เห็นได้ชั
    ต้องติดตั้งเครื่องระดับน้ำชนิดเป็นหลอดแก้วไว้ให้เห็นได้ชัด และต้องมีเครื่อง ป้องกันหลอดแก้วไว้ด้วย
    ต้องติดตั้งสัญญาณเปล่งเสียงแจ้งอันตราย ในเมื่ออุปกรณ์หรือหม้อไอน้ำขัดข้องอันอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายได้
    แผงควบคุมอัตโนมัติและเครื่องวัดต่างๆ ของหม้อไอน้ำต้องติดตั้งไว้ ณ ที่ซึ่งผู้ควบคุมสามารถมองเห็นเปลวไฟ ระดับน้ำและสัญญาณต่าง ๆ ได้ง่าย
    ต้องจัดทำท่อร้อยสายไฟฟ้าที่ต่อไปยังเครื่องควบคุมการทำงาน
    ภาชนะที่บรรจุแก๊สสำหรับใช้ในการติดไฟครั้งแรก ต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยจากประกายไฟ และลิ้นปิดเปิดต้องไม่รั่วซึม
    ถังน้ำมันเชื้อเพลิงต้องติดตั้งไว้ ณ สถานที่ปลอดภัยจากการลุกไหม้และท่อน้ำมันเชื้อเพลิงต้องไม่รั่วหรือซึม การวางท่อน้ำมันเชื้อเพลิงต้องวางไว้ในที่ปลอดภัยและไม่กีดขวาง ในกรณีที่ใช้ไม้ฟืนขี้เลื่อย หรือวัสดุอื่นที่เป็นเชื้อเพลิงต้องจัดทำที่เก็บหรือเครื่องปิดบังให้ปลอดภัย
    ต้องทำฉนวนสีแดงห่อหุ้มท่อจ่ายไอน้ำโดยตลอด
    ต้องทำการตรวจซ่อมหม้อไอน้ำทุกส่วนไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งครั้ง และได้รับการรับรองผลการตรวจจากวิศวกรเครื่องกล ซึ่ง ก.ว. รับรอง และผลของการตรวจสอบทางไฮโดรสแตติก (Hydrostatic) ของหม้อไอน้ำ ต้องมีค่าไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของความดันสูงสุดที่กำหนดให้ใช้สำหรับหม้อไอน้ำนั้น
    ต้องทำความสะอาดบริเวณรอบที่ตั้งหม้อไอน้ำมิให้มีคราบน้ำมันหรือสิ่งอื่นที่ติดไฟง่าย
    ข้อ 12 ให้นายจ้างจัดทำระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยในการตรวจอุปกรณ์หม้อไอน้ำทุกอย่างก่อนลงมือทำงานและแจ้งให้ผู้ปฏิบัติงานทราบ
    ข้อ 13 ผู้ควบคุมหม้อไอน้ำ ต้องเป็นช่างชั้นต้นซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรประโยคอาชีวศึกษาชั้นสูงแผนกเครื่องกล หรือแผนกช่างกลโรงงานหรือช่างชั้นต้น ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพจากสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานกรมแรงงานสาขาช่างยนต์หรือช่างกลโรงงานหรือช่างผู้ชำนาญงานที่ผ่านการทดสอบจากสถาบันของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจหรือสถาบันอื่น ซึ่งกรมแรงงานรับรองว่าเป็นผู้สามารถควบคุมหม้อไอน้ำหรือช่างผู้ชำนาญงานที่ปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมของวิศวกรซึ่ง ก.ว. รับรอง 
    ข้อ 14 การใช้หม้อไอน้ำที่มีอายุเกิน 10 ปี ต้องลดความดันที่ใช้งานสูงสุดลงจนหม้อไอน้ำนั้นสามารถทนความดันที่ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 6 เท่า 
    ข้อ 15 หม้อไอน้ำที่มีการเคลื่อนย้ายที่ติดตั้งแล้ว ต้องลดความดันที่ใช้งานสูงสุดลงจนหม้อไอน้ำนั้นสามารถทนความดันที่ใช้งานได้ไม่น้อยกว่า 5 เท่า
    ข้อ 16 เครื่องมือไฟฟ้าที่มีที่ครอบโลหะอยู่ส่วนใช้สำหรับจับถือ ซึ่งใช้ในการปฏิบัติงานซ่อมและบำรุงรักษาหม้อไอน้ำที่เปรียบชื้นหรือพื้นเป็นโลหะต้องต่อสายดิน หรือจัดทำด้วยวิธีอื่นใดที่อาจป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากไฟฟ้ารั่วได้ 
    ข้อ 17 ถ้ามีหม้อไอน้ำติดตั้งอยู่ในห้องโดยเฉพาะห้องนั้นจะต้องมีทางออกได้ไม่น้อยกว่าสองทางซึ่งอยู่คนละด้าน และถ้าภายในห้องหม้อไอน้ำมีชั้นปฏิบัติงานหลายชั้น จะต้องทำทางออกไว้ทุกชั้นและต้องไม่มีสิ่งกีดขวางทางออกด้วย และเมื่อไฟฟ้าดับให้มีแสงสว่างฉุกเฉินส่องไปยังทางออกและเครื่องวัสดุต่างๆ รวมทั้งแผงควบคุมให้เห็นได้อย่างชัดเจน 
    ข้อ 18 หม้อไอน้ำที่สูงเกินกว่า 10 ฟุตจากพื้น ต้องทำบันไดและทางเดินไว้รอบหม้อไอน้ำเพื่อให้ผุ้ควบคุมหรือซ่อมแซมเดินได้โดยปลอดภัยบันไดและทางเดินนี้ต้องมีราวสำหรับจับและที่พื้นต้องมีขอบกั้นปลาย (Toe Board)

                                             ระเบียบกรมโรงงานอุตสาหกรรม
                            ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ
                       วิศวกรตรวจทดสอบหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน 
            วิศวกรควบคุมการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนและ
     ผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน พ.ศ.2528

    ตามความในประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2528) ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2512 เรื่องหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานจัดให้มีวิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ วิศวกรตรวจสอบหม้อไอน้ำ หรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน และผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำ หรือ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อนและบุคคลดังกล่าวต้องขึ้นทะเบียนตามระเบียบและวิธีการที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมกำหนดนั้นกรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงวางระเบียบและวิธีการขึ้นทะเบียนไว้ดังต่อไปนี้ 
    ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า ระเบียบกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าด้วยการขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำวิศวกรตรวจสอบหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน วิศวกรควบคุมการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน และผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน พ.ศ. 2528 
    อนึ่งคำว่า “หม้อต้มฯ” ที่จะกล่าวต่อไปในระเบียบนี้ให้หมายถึง หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน (ชนิดที่มีความดันสูงกว่าความดันบรรยากาศ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายคลึงหม้อไอน้ำและใช้งานคล้ายคลึงกับหม้อไอน้ำ) 
    ข้อ 2 คุณสมบัติผู้ขอขึ้นทะเบียน 
    วิศวกรควบคุมและอำนวยการใช้หม้อไอน้ำ วิศวกรควบคุมการสร้างหรือซ่อมหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ ต้องเป็นวิศวกรสาขาเครื่องกล ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมตามพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505
    วิศวกรตรวจทดสอบหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ ต้องเป็นวิศวกรสาขาเครื่องกลประเภทสามัญวิศวกร หรือวุฒิวิศวกร หรือผู้ได้รับใบอนุญาตพิเศษให้ตรวจสอบหม้อไอน้ำตามพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505
    ผู้ควบคุมประจำหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ ต้องเป็นผู้มีคุณวุฒิได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาช่างกลโรงงานหรือช่างยนต์หรือช่างผู้ชำนาญงานที่ผ่านการทดสอบหลักสูตรฝึกอบรมผู้ควบคุมหม้อไอน้ำ จากกรมแรงงานอุตสาหกรรมหรือสถาบันอื่นที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับรอง 
    ข้อ 5 หน้าที่และความรับผิดชอบของวิศวกรตรวจทดสอบหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ 
    5.1 ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการตรวจทดสอบหม้อไอน้ำดังต่อไปนี้ 
            1. ปั๊มน้ำแรงดันสูงสามารถอัดน้ำทดสอบได้เกินกว่า 1.5 เท่าของความดันใช้งานปกติของหม้อไอน้ำ 
            2. เครื่องทดสอบลิ้นนิรภัย (Safety Valve) 
            3. เครื่องทดสอบเกจวัดความดัน (Pressure Gauge) 
            4. เครื่องวัดความหนาของเหล็ก (Ultrasonic Thickness) ชนิดอ่านเป็นตัวเลข 
            5. อุปกรณ์วิเคราะห์คุณภาพน้ำ 

    5.2 เมื่อตรวจทดสอบพบว่าหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ หรือส่วนประกอบและหรืออุปกรณ์ของหม้อไอน้ำหรือของหม้อต้มฯ อยู่ในสภาพไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ต้องแจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานดำเนินการปรับปรุง แก้ไขซ่อมแซม หรือเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยต่อการใช้งานโดยด่วน 
    5.3 การตรวจทดสอบหม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดหรือหลักเกณฑ์ในการตรวจทดสอบหรือตามหลักวิชาการของวิศวกรรม และกรอกรายงานการตรวจตามแบบเอกสารรับรองความปลอดภัยในการใช้หม้อไอน้ำหรือหม้อต้มฯ ตามแบบท้ายระเบียบนี้